011 ธรรมปัจเวกขณ์
วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖

นับวันที่เราปฏิบัตินี่ เราจะเห็น คัมภีราวภาโส หรือว่า สภาพหมุนเชิงซ้อน มากขึ้นๆ พยายาม ชี้มาเสมอ ให้เราเห็น ให้เรารู้ว่า อย่างหนึ่งนั้น ไม่เหมือน อีกอย่างหนึ่ง ที่ทำไม่เหมือนนั้น ไม่ใช่ว่าไม่ดี ดี ด้วยเหตุปัจจัย ในองค์ประกอบ ที่สมส่วนของ ชั้นตอนชั้นเชิง ของธัมมัญญุตา อัตตัญญุตา มัตตัญญุตา คือได้ประมาณ ดีแล้ว ดูชั้นเชิง ของธรรมะ ดูเหตุ ดูผล ดูเนื้อ ดูหา ดูองค์ประกอบ แล้วก็ดูตัวเอง ประกอบด้วยว่า เรานี้มีฤทธิ์แค่ไหน เราดีแค่ไหน เราสูง เราต่ำ จริงแค่ไหน แล้วเราก็ประมาณ ประมาณแล้ว เราจะทำสิ่งนั้น เราจะประมาณอันนั้น ออกไป แค่ไหนๆ แล้วเราก็จะต้อง ดูทั้งกาละ กาลัญญุตา เราจะต้องดูทั้ง บุคคล บริษัท หมู่กลุ่ม ดูทั้งบุคคลส่วนตัว ซึ่งเป็นคนอื่น ไม่ใช่เรา ว่าเขา จะต้องได้รับ ผลกระทบ จากเรา แล้วมันจะมี ผลสะท้อน แล้วมันจะพอก กลมกลืน หรือ พอจะเป็นไปได้ ไม่ได้แค่ไหน หรือว่า เราจะตัด หรือเปล่า หรือเราไม่ตัด เราจะรวมหรือเปล่า หรือเราไม่รวม เราก็ทำไป ด้วยความรู้ ด้วยเจตนา ที่แท้จริงน่ะ แล้วเราจะเห็นว่า มันก็จะต้อง บางทีบอกว่า ไม่ยึดมั่น ถือมั่น อย่างนี้ เป็นต้น แต่เราก็จะต้อง ยึดมั่นถือมั่น อย่างนี้เป็นต้น ฟังแล้ว มันฟังไม่ไหว มันเหมือนกับ ย้อนแย้ง บอก เอ๊! อะไรกัน บอกว่า จะไม่ยึดมั่นถือมั่น เราก็ต้อง ยึดมั่นถือมั่น ฟังแล้ว มันก็ย้อนแย้ง

เพราะฉะนั้น คำกล่าว ถึงแม้เราจะกล่าว คำสุด บอกว่า เราจะไม่ยึดมั่นถือมั่น แล้วอาตมา ก็เคย ยืนยันว่า พระอรหันต์นี่แหละ ยอดยึดมั่น ถือมั่น แล้วก็อธิบายความ ให้ฟังว่า ยึดอะไร ท่านยึด ความถูกต้อง แม้ยึดความถูกต้อง ท่านก็ยัง มีอนุโลม ท่านยึดธรรมวินัย ยึดหลัก อย่างนี้ เป็นต้น ถ้าพระอรหันต์เจ้า ไม่ยึดหลัก ไม่ยึดธรรม ไม่ยึดวินัย ก็เหลวเละกันไปหมด ส่วนตัว ของท่านนั้น ไม่มีอะไร ท่านไม่ยึดมั่น ถือมั่น แม้ท่านยึดหลัก ท่านก็ยึดเพื่ออาศัย ยึดเพื่อ ให้เป็นไป ให้สมมุติสัจจะ เหล่านี้ มันดำเนินไป เพราะส่วนที่บริสุทธิ์ หลุดจริง ไม่หลุดจริงนั้น มันเป็น ปัจจัตตัง ผู้ใดว่างแล้ว สูญแล้ว ข้างนอก แม้เราจะทำการ สัมพันธ์อยู่ จิตเราว่าง มันก็ว่าง ใครจะมารู้จิตเรา มันย้อนแย้งอยู่ อย่างนี้ เสมอๆน่ะ

สภาพคัมภีราวภาโส หรือ สภาพหมุนรอบ เชิงซ้อน กลับไป กลับมา เหมือนกัน มันไม่ลงตัวกัน อย่างนี้ จะต้อง เกิดความรู้ยิ่ง เป็นญาณทัสสนวิเศษ และ มีสัจธรรม ของจริง และทุกอย่าง ภาษาบอกว่า เป็นมายาทุกอย่าง เป็นเรื่องไม่ให้พูด ถ้าพูดแล้ว มันไม่จริง ไอ้ที่จริงแล้ว มันไม่ต้องพูดหรอกน่ะ ผู้ที่จะรู้กันว่า ผู้นั้นมีจริง หรือไม่มีจริง ก็คบหากันไป แล้วก็จะเข้าใจว่า มีจริงหรือไม่มีจริง ในจิตใจนั้นน่ะ เสร็จแล้ว จิตใจ ที่จริงแล้ว มันก็เป็นไปได้จริงน่ะ แล้วก็กระทำกันไป สอดร้อยกันไป อนุโลม ปฏิโลม ไปเสมอๆ

ก็ขอให้เราอ่าน ด้วยปัญญาอันยิ่ง ให้เห็น ความหมุนรอบ เชิงซ้อน ไม่ใช่เรื่องเหลาะแหละ ไม่ใช่เรื่อง ตลบไป ตลบมา ต้องมีความมั่นคง ต้องมีความจริงจัง ยืนหยัด สอดคล้อง ต้องฉลาด จริงๆ สัปปุริสธรรม ๗ ประการ เป็นเรื่อง ละเอียดลึกซึ้ง เป็นเรื่องที่ต้อง ประมาณยืดหยุ่น หรือเป็นไป ตามเหตุปัจจัย ที่แท้จริง

ไม่ใช่เราเอาตามใจเรา ลำเอียงให้แก่ตน ลำเอียงให้แก่ คนนั้นคนนี้ เป็นมีอคติอยู่ ไม่ใช่ แต่เราจะต้อง เห็นแก่ส่วนรวม เห็นแก่ส่วนสัจจะ ถ้าผู้ถอดตัว ถอดตนแล้ว ไม่เอาอะไร ที่จะเป็น แม้แต่ส่วนกิเลส สักนิด สักหน่อย ของตัวเอง ไปประกอบกับ การตัดสินอันอื่น แล้วจะทำ ให้คนอื่น เขาเอาตามใจตน ให้เขามา เห็นแก่เรา โดยเอาตามใจเรา มันเป็นเชิง เผด็จการ หรือเป็นเชิง อัตตาอย่างนั้น เราไม่เอา เราจะต้อง ปลดปล่อยตัวตน ให้ได้มากที่สุด และเราก็ต้อง พิจารณา ด้วยเหตุผล ด้วยความเป็นจริง ความกลาง ให้ดีที่สุด

เพราะฉะนั้น ในสิ่งแวดล้อม ที่มันมาก มันมาย เราไม่สามารถประมวล ไม่สามารถ เอามาร่วม เป็นข้อมูล ตัดสิน แล้วเราก็ตัดสิน ยังไม่เป็น หรือยังไม่ออก เราดูอะไร ยังไม่ได้ เพราะฉะนั้น เหตุผล หรือว่า องค์ประกอบ หรือว่าสิ่งที่มัน เกิดอยู่ ทุกวันนี้ มันมีอะไร ย้อนแย้ง ย้อนแย้งอยู่ในตัว ซึ่งเราจะต้อง ใช้ปัญญา เรียนรู้ จริงๆน่ะ แม้แต่อย่าง ตัวอย่างเมื่อกี้นี้ เรื่องของ ความเมตตา จะรู้สึกเลยว่า ความเมตตานั้น ไม่ใช่อย่างที่เราคิด หมากรุกชั้นเดียว ตื้นๆง่ายๆ ว่าเมตตาก็คือ จะต้อง เห็นแก่เขาไปหมด แล้วคนนั้นก็เกิด มีแต่ตัวกิเลส เห็นแก่ตัว เอาแต่ใจตัว จะให้แต่เขา ประคบ ประหงมตัว มาเห็น ความสำคัญของตัว มีอะไรต่ออะไร ของตัว อยู่เท่านั้น ถ้าเขาไม่ทำ ก็นึกว่า เขาไม่เกื้อกูล ไม่เอื้อเฟื้อ ทั้งๆที่เขาก็ เอื้อเฟื้ออยู่ โดยนัย บางที ก็ไม่ต้องถึงขนาด ผู้นั้นหรอก ใครเขา ก็เอื้อเฟื้อกันอยู่ คนอื่น เขาก็เอื้อเฟื้อ กันอยู่ และผู้ใหญ่ ท่านก็เห็นอยู่ว่า เออ! ก็นั่น ก็มีคนรับรอง ช่วยเหลือ เอื้อเฟื้ออยู่แล้ว เราก็ไม่ต้อง ไปหรอก ขนาดขั้นนั้น ผู้นั้น เขาทำด้วยกัน ช่วยเหลือปรานีกัน เอื้อเฟื้อกัน อยู่แล้ว ก็สมบูรณ์พอเพียง มีครบ มีครันอยู่แล้ว

แต่ว่ามันอยากได้ มากกว่านั้น ถ้าผู้นั้น ยังไม่รู้ตัว เมื่อทุกสิ่ง ที่เราอยากได้ เขาไม่ให้ เราก็มองตื้นๆได้ ก็นึกว่า ผู้นั้น ไม่มีเมตตา อะไรอย่างนี้ อย่างนี้ มันมองได้ง่ายๆ เพราะว่า เขาไม่เข้าใจ ในรายละเอียด ในองค์ประกอบ ที่มีอยู่มากมาย อย่างนี้ เป็นต้น

เพราะฉะนั้น ก็เลยวัดเอา ในเรื่องของ ความเข้าใจง่ายๆ ว่าเมตตานี่ จะต้องกลั้วเกลี้ย ติดต่ออะไร ต่ออะไร กันไว้เยอะแยะ ยุ่มย่ามไปหมด เมตตาจะต้องอ่อนๆ จะต้องติดๆ จะต้องมีอะไร ที่มันง่ายๆ ที่จริง มันมี สภาวะ ซับซ้อน ดังที่กล่าวนี้ พูดไปนี้ ก็พูดยาก และพูดไม่หมด ถ้าใครฟังดีๆ ก็จะเข้าใจ

เพราะฉะนั้น สภาพหมุนรอบเชิงซ้อน หรือ สิ่งที่สลับ ซับซ้อน มีเชิงซ้อน ว่ามันแย้งบ้าง มันตามบ้าง เป็นอนุโลม และ เป็นปฏิโลม ที่ชัดลึกนี่ เราจึงจะต้องรู้ ด้วยญาณ ปัญญา ที่มีข้อมูล มีองค์ประกอบ มีอะไร ต่ออะไร มากเพียงพอ แบ่งเหตุแบ่งผล แบ่งสภาวะ แบ่งเหตุปัจจัย อยู่ในหน่วย อยู่ในชั้น อยู่ในขีด ที่ เออ! อันนี้ เขามีมากจริง อันนี้เขาได้จริง อันนี้ เขามีสัดส่วน ที่สมบูรณ์จริง เราจึงจะรู้ได้ลึก ได้ละเอียด

เพราะว่าสิ่งนี้ ก็เคยบอกว่า อาตมานี่ ได้รู้แจ้ง ... เห็นอันนี้ล่ะ เป็นเรื่องยาก และเป็นเรื่อง สำคัญเหลือเกิน ในองค์ประกอบ ของจักรวาล ทั้งหลายแหล่นี่ มันมีสภาพ ยากที่จะรู้ว่า มันสอดร้อย กันอย่างไร มันหยักไป หยักมา มันซับซ้อนไปมา ที่เหมือนกะ พูดไปพูดมา เหมือนตลบตะแลง เอาหัวเป็นท้าย เอาท้ายเป็นหัว เอาผิดว่าถูก ถูกว่าผิด ดีไปอีกเชิงหนึ่ง ก็ว่าไม่ดี อะไรอย่างงี้ ทั้งๆที่เป็น ความหมาย หรือว่า เป็นคำพูดเดียวกัน อะไรยังงี้ๆ คล้ายๆกันอย่างงี้

ถ้าเผื่อว่า ไม่รู้ละเอียดลึกซึ้ง แยกอย่าง ได้ละเอียดแท้ แบ่งอะไร ถูกจริง แล้วละก็ เราก็จะเป็น อย่างนั้นๆ อยู่ในมุมนั้น อย่างนั้นอยู่น่ะ ก็ขอให้อย่าเพิ่ง ตัดสินอะไร เร็วนัก ขอให้ศึกษา ให้ละเอียดลออ แล้วก็มีความรู้ ที่จะประมวล นับเหตุ นับผล นับเหตุ นับปัจจัย เป็นนักสถิติ ที่นับให้ครบ มีอะไร ที่เป็นความดี ของความดี มีละเอียดยังไงๆ มีความดี ที่มันซับซ้อน ที่เรายังไม่รู้ว่า เชิงนั้นดี เชิงนี้ดี เราก็ไปนำเอามา เป็นข้อมูลว่า ล้วนดีไม่ได้ เพราะว่า เรามองผิดอยู่ เห็นผิดเป็นถูก เห็นดีว่าไม่ดี อะไรต่างๆ พวกนี้ เราก็จะต้องศึกษา อบรมต่อไป เพราะฉะนั้น จุดใด จุดหนึ่ง ที่เป็นของดีแล้ว ที่เรามั่นใจว่า นี่มีมากพอ เพียงพอ ก็อย่าเพิ่ง ทำเป็น ปล่อยปละ ละเลย หรือว่า พรากจากเร็วนัก ไม่เช่นนั้น จะทำให้เรา พลาดโอกาส เราเป็นคน ที่แพ้ภัยตัว เพราะอำนาจ ที่จะตัดสิน โดยเอาตัวเอง เอาอารมณ์ ของตัวเอง เอาปัญญา ของตัวเอง เอาความยึด ของตัวเอง ตัดสินอย่างเดียว เร็วเกินไปน่ะ มันก็ไม่ครบครัน

เพราะฉะนั้น ดูรายละเอียด อะไรต่ออะไรอื่นๆ ให้มาก ศึกษาไป เราจึงจะได้รู้ถึง สภาพหมุนรอบ เชิงซ้อน มากขึ้นๆ ชี้ขึ้นอย่างนี้ หลายๆคน ก็คงจะเข้าใจ แล้วก็คง จะได้เห็น ความจริงว่า สภาพหมุนรอบ เชิงซ้อน นี้ ไม่ใช่ เรื่องเล่นๆ เป็นเรื่อง มากหลาย เป็นเรื่อง ที่เกิดจาก ญาณปัญญา ที่แยบคายจริงๆ ที่เราจะเห็น กลับได้ เหมือนกัน อย่างหลายคน ที่รู้สึกว่า เอ้อ! อาตมานี่ มีเมตตามากๆ เอ๊! มันเป็นไปได้ยังไง บางคนนี่ ว่าอาตมา ไม่มีเมตตา อย่างนี้เป็นต้น มันกลับกันแล้ว มันเห็นความจริงเชียวนะ เป็นความจริงเลยว่า เราได้รู้ว่า อ๋อ! มีเมตตา เป็นอย่างงี้ เมตตามากๆ เป็นอย่างงี้น่ะ ทั้งๆที่ลีลา ลักษณะอย่างนี้ บางคนสัมผัส แล้วบอก โอ้โห! ไม่มีเมตตา หรือ เมตตาน้อยไป บางคนว่า เมตตามากๆ มันก็ย้อนแย้งกันน่ะ

ก็ขอให้ศึกษาดีๆ เราจะเป็นผู้รู้จัก คัมภีราวภาโส หรือ สภาพหมุนรอบเชิงซ้อน อันละเอียด ถ้วนทั่ว ทุกรอบ ทุกมุม ไปได้เรื่อยๆ และเราก็จะเป็น ผู้รู้ว่า ธรรมะนี้ มันลึกซึ้ง ก็เพราะมันมี ความซับซ้อน มีคัมภีราวภาโส มีสภาพหมุนรอบ เชิงซ้อนนี้แหละ อย่างแท้จริง

สาธุ.